นักจิตวิทยาเผย! เกมเมอร์หลายคน “อาจ” สามารถควบคุมความฝัน
ความฝันรู้ตัว , การควบคุมความฝัน หรือ Lucid Dream ที่เข้าใจง่ายๆ คือในขณะที่คุณกำลังนอนหลับฝันอยู่ แล้วคุณก็ดันรู้ตัวว่าตัวเองอยู่ในความฝัน และสามารถควบคุมหรือบังการความฝันได้ (คล้ายกับภาพยนต์เรื่อง Inception) โดย Lucid Dream ในทางวิทยาศาสตร์มีคำอธิบายว่าในช่วงเวลานั้นสมองของเราจะอยู่ในสภาวะกึ่งกลับกึ่งตื่น ก็เลยทำให้สามารถมีสติอยู่ในขณะที่กำลังล่องลอยไปกับความฝันได้นั่นเองLucid Dream สามารถเข้าไปแก้ไขปมอดีตที่ค้างคาใจได้
ซึ่งที่ผ่านมานักวิทยาศาสตร์ และนักท่องเว็บบอร์ดต่างๆ โดยเฉพาะ Pantip ก็ต่างวิภาควิจารณ์และแนะนำเทคนิคในการควบคุมความฝัน หรือ Lucid Dream กันอย่างมากมายมายหลายรูปแบบ อย่างเช่นการทำสมาธิ หรือการจดจำความฝันแล้วพยายามเรียกตัวเองให้ฝันแบบนั้นอีก ซึ่งต่างบอกว่าการทำ Lucid Dream นั้นก็มีประโยชน์ เพราะเราสามารถเข้าไปแก้ไขปมอดีตที่ค้างคาใจและฝังอยู่ในหัวเราเพื่อให้เรารู้สึกดีขึ้นได้ คล้ายๆ กับการสะกดจิตรูปแบบนึง
เหล่าเกมเมอร์”อาจจะ”ทำ Lucid Dream ได้ง่ายกว่าคนทั่วไป
สอดคล้องกับแหล่งข่าวอย่าง The Verge ที่ได้รายงานผลวิจัยของนักจิตวิทยาอย่างนาย Gackenbach จากมหาวิทยาลัย Canada’s Grant MacEwan ซึ่งเขาได้ศึกษาและค้นพบว่าการเล่นเกมมากๆ ก็สามารถช่วยให้เกิด Lucid Dream ได้ เนื่องจากในขณะที่เราเล่นเกม สมองของผู้เล่นสามารถแยกแยะโลกจริงและโลกเสมือนจริงได้ เลยทำให้สามารถคิดและควบคุมสิ่งที่อยู่ในโลกอีกโลกหนึ่งได้ด้วย ดังนั้นเมื่อเวลาที่อยู่ในความฝันก็เลยมีโอกาสที่สามารถจะควบคุมโลกที่อยู่ในความฝันได้เช่นกัน
นอกจากนี้ Gackenbach ยังพบว่า ในกรณีที่เป็นฝันร้าย คนที่เล่นเกมจะสามารถรับมือเหตุการณ์ที่อยู่ในความฝันได้ดีกว่าคนที่ไม่เคยเล่นเกมเลย ซึ่งอาจเป็นเพราะคุ้นเคยกับการรับมือสถานการณ์ไม่คาดฝันมาก่อนแล้ว(ในเกม) ซึ่งมีการอธิบายเพิ่มเติมจากนักจิตวิทยาอีกท่านนึงอย่างนาย Antti Revonsuo ว่า การที่คนเราฝันร้าย เป็นกระบวนการนึงที่สมองใช้ฝึกฝนคนเราให้พร้อมรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ก่อนที่จะเจอเหตุการณ์แบบนั้นในชีวิตจริง และงานวิจัยบางส่วนยังพบว่าคนที่เล่นเกมมากๆ มักจะมีความฝันที่แปลกประหลาดหลุดโลกไม่เหมือนใคร เช่น ฝันว่าตัวเองได้ออกไปใช้ชีวิตอยู่ในอวกาศ , ฝันว่าตัวเองเป็นฮีโร่ภายในเกมเป็นต้น ซึ่งการที่มีความฝันแปลกประหลาดเช่นนี้ก็เป็นผลดีที่จะช่วยให้บุคคลเหล่านั้นมีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น เวลาที่ใช้ชีวิตจริงอีกด้วย
และแน่นอนว่างานวิจัยในเรื่อง Lucid Dream ก็ยังมีข้อถกเถียงเหมือนกับงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับความฝันอยู่มากทีเดียว เหตุผลหลักๆ เป็นเพราะข้อจำกัดที่ทุกๆ คนยังไม่สามารถพิสูจน์ให้เห็นภาพได้ว่าสรุปแล้วฝันที่ว่านี่คือเรื่องจริงหรือไม่ เช่นเดียวกับการพิสูจน์ว่าผีมีจริงหรือเปล่า นอกเสียจากว่าผู้ที่ไม่เชื่อได้เจอกับตัวเองถึงจะเข้าใจ
อีกตัวอย่างหนึ่งเป็นเรื่องของนักประดิษฐ์จักรเย็บฝ้า ที่พยายามคิดค้นหาวิธีทำจักรเย็บผ้าอยู่นาน แต่ไม่ประสบความสำเร็จ วันหนึ่งเขาฝันว่าอยู่ในวงล้อมของคนป่า เขาเห็นหอกทุกเล่มของคนป่ามีรู เจาะอยู่ที่ปลาย ความฝันนี้ทำให้เขาเกิดความคิดขึ้นมาว่า รูเข็มของจักรเย็บผ้าต้องอยู่ที่ปลายเข็ม ไม่ใช่อยู่ที่โคนแบบเข็มเย็บผ้าทั่วไป
สองกรณีนี้ น่าจะเกิดขึ้นจากความฉลาดของกายมนุษย์ละเอียด ที่ฉลาดกว่าคนชั้นหนึ่ง ดังที่พระเดชพระคุณหลวงปู่ท่านบอกไว้ กายละเอียดจึงสามารถแก้ปัญหาที่มนุษยธรรมดาทำไม่ได้
Jaruwan Imerbpathom - อยากทราบว่าเวลาเราหลับ จิตเราอยู่ในสภาพอย่างไรคะ อยู่กับตัวเราไหม ทำไมเราถึงไม่มีความรู้สึกตัวในขณะหลับสนิท จิตมีส่วนทำให้เราฝันและละเมอหรือไม่คะ ในขณะละเมอเรามีความเคลื่อนไหวทางกาย แต่เรากลับไม่รู้สึกตัวเลย แสดงว่าขณะละเมอจิตไม่ได้บังคับกายให้เคลื่อนไหวใช่ไหมคะ ขอยกตัวอย่างนะคะ เด็กถูกผ่าตัดในเวลากลางวันและก่อนที่จะสลบไปมีความรู้สึกกลัวมาก ส่งผลให้ละเมอร้องไห้ตกใจกลัวในเวลาหลับสนิท ซึ่งน่าจะเป็นผลตกค้างจากจิตที่เกิดความกลัวในเวลากลางวัน อยากทราบว่าขณะละเมอจิตยังอยู่กับกายไหมคะ ถ้าอยู่ทำไมถึงไม่มีความรู้สึกตัวขณะละเมอ ทราบว่าจิตกับกายแยกจากกัน แต่อยากทราบว่าจิตอยู่กับกายตลอดเวลาหรือไม่คะ ไม่ทราบพระ อาจารย์จะเข้าใจคำถามไหมคะ
พระไพศาล วิสาโล - ขณะที่หลับอยู่ จิตก็ทำงานอยู่ แต่จิตขณะนั้นเป็นจิตอีกระดับหนึ่ง ไม่ใช่จิตสำนึกรู้ หรือจิตที่มีสติรู้ตัว ดังนั้นเมื่อเคลื่อนไหวทางกายขณะหลับ จึงไม่รู้ตัว แต่ตอนนั้นจิตก็ยังสามารถปรุงแต่งอะไรได้ร้อยแปด รวมทั้งความฝัน โดยที่เราไม่สามารถควบคุมความฝันได้ (เพราะไม่มีสติหรือสติอ่อน)จะเรียกว่าตอนนั้นจิตไร้สำนึกหรือจิตใต้สำนึกเป็นใหญ่ก็ได้ จิตส่วนนี้แหละที่ควบคุมหรือผลักดันความฝัน รวมทั้งพลอยทำให้กายเขยื้อนขยับหรือเคลื่อนไหวจนกลายเป็นละเมอได้
จิตอยู่กับกายเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็มีบางครั้งที่อาจแยกออกจากกายได้ (เช่น เกิดประสบการณ์ที่เรียกว่า out-of-body experience คือเห็นร่างกายของตนจากมุมสูง ซึ่งมักเกิดกับผู้ที่ใกล้ตาย หรือหมดลมแล้วฟื้นขึ้นมาจากการช่วยเหลือของแพทย์)
แต่เช่นเดียวกับสิ่งอื่นๆ วิทยาศาสตร์กำลังช่วยให้เราเข้าใจมากขึ้นว่าทำไมเราถึงฝัน สมองเราเป็นยังไงเวลาที่ฝัน และว่าทำไมความฝันถึงมีความสำคัญต่อสมองของเราในยามที่เราตื่นด้วย พยายามตื่นฟังให้จบนะครับ เพราะตอนนี้เจ๋งมากจริงๆ
มนุษย์เราพยายามทำความเข้าใจความฝันมาตั้งแต่เริ่มมีมนุษย์แล้ว แต่บุคคลที่เรามักเชื่อมโยงเข้ากับวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับความฝันก็คงจะเป็น ซิกมันด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) ในปี 1899 เขาเขียนหนังสือเรื่อง “การตีความความฝัน” (The Interpretation of Dreams) ที่ซึ่งเขากล่าวว่า ความฝันส่วนใหญ่เป็นสัญลักษณ์ และสามารถช่วยให้เราเข้าใจความปรารถนาที่ถูกเก็บกดเอาไว้ในจิตใต้สำนึก (unconscious mind) ของเราได้
สังเกตเห็นว่า ความปรารถนาที่ฟรอยด์พูดถึงมักเกี่ยวข้องกับความปรารถนาเรื่องเพศแบบแปลกๆ ฟรอยด์ก็.... คือ
ฟรอยด์ล่ะนะ
จนกระทั่งในช่วงยุค 1950 เมื่อนักวิทยาศาสตร์เริ่มมีเครื่องมือที่สามารถอ่านคลื่นไฟฟ้าในสมองได้ เราถึงเริ่มเข้าใจการทำงานของสมองขณะกำลังฝันอยู่
นักวิจัยของมหาวิทยาลัยชิคาโก ยูจีน อาเซอรินสกี (Eugene Aserinsky) และ นาธาเนียล ไคลท์แมน (Nathanial Kleitman) บุกเบิกงานวิจัยด้านนี้ โดยติดเครื่อง EEG เข้ากับผู้รับการทดลอง แล้วสังเกตการทำงานของสมองพวกเขาขณะหลับ
พวกเขาคาดการณ์ว่าสมองของมนุษย์คงจะพักผ่อนขณะหลับ แต่สิ่งที่พวกเขาพบกลับตรงกันข้าม
พวกเขาพบว่ากิจกรรมภายในสมอง (brain activity) จะผันผวนตามรูปแบบที่คาดเดาได้ ในช่วงระยะเวลาประมาณ 90 นาที วงจรการนอนหลับจะเริ่มขึ้นเมื่อเราเริ่มเคลิ้มหลับ แล้วค่อยๆเปลี่ยนไปเป็นระยะของการหลับลึก (deep sleep) ซึ่งมีกิจกรรมทางสมองช้ากว่า และกลับมาเป็นระยะที่สมองเราเกือบจะตื่นเต็มที่
และระยะที่สมองของผู้นอนหลับเกือบจะตื่นเต็มที่นี่เองที่น่าสนใจที่สุด กิจกรรมทางสมองของคนเราในระยะการนอนหลับนี้ เกือบจะเหมือนกับเวลาที่เราตื่นอยู่ แต่ที่ยิ่งแปลกกว่านั้นคือ ร่างกายของผู้นอนหลับจะเป็นอัมพาตชั่วคราว อวัยวะส่วนเดียวที่ยังเคลื่อนไหวอยู่คือลูกตา ที่กลิ้งกลอกไปมาใต้เปลือกตา คุณคงรู้จักระยะการนอนหลับนี้แล้วครับ อาเซอรินสกีกับไคลท์แมนเรียกระยะการนอนหลับนี้ว่า การนอนหลับแบบ R.E.M. ซึ่งย่อมาจาก Rapid Eye Movement (การเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วของลูกตา) ที่เป็นลักษณะเด่นของระยะการหลับนี้ พวกเขายังเรียกมันว่า “Paradoxical Sleep” ด้วย เพราะผู้นอนหลับดูเหมือนจะตื่นอยู่ถ้าดูที่กิจกรรมภายในสมองของพวกเขา แต่ที่จริงพวกเขากลับหลับไม่รู้เรื่องเลย
พวกเขาคงคิดว่าสองชื่อนี้ดีกว่า “การหลับที่ตื่นตัวทางเพศ” ซึ่งเป็นอีกหนึ่งในลักษณะเด่นของการหลับในระยะนี้
อย่างหนึ่งที่นักวิทยาศาสตร์ค้นพบก็คือ ถ้าผู้นอนหลับในระยะ R.E.M. เกิดตื่นขึ้นมา พวกเขาจะจำความฝันได้อย่างชัดเจน และบ่อยครั้งเป็นความฝันซึ่งมีอารมณ์ที่เข้มข้นรุนแรง แน่นอนว่านี่ไม่ใช่การหลับระยะเดียวที่ผู้นอนหลับฝัน แต่พวกเขากล่าวว่าความฝันในช่วงนี้เหมือนจริงมาก ปรากฏว่าทุกๆ ประมาณ 90 นาที ในช่วงท้ายของวัฎจักรการนอนหลับ (sleep cycle) สมองของเราจะเข้าสู่ระยะ R.E.M. และเริ่มสร้างสรรค์เรื่องราวบ้าๆเยอะแยะ ซึ่งจะยาวนานประมาณ 20-30 นาที นี่เป็นช่วงที่คุณจะฝันแปลกประหลาดแต่ชัดเจนมาก จนบางครั้งคุณเกือบจะสับสนว่าเป็นชีวิตจริง
งั้น... เจ้าสมอง บอกฉันหน่อยสิ ทำไมต้องจริงจังกับการนอนขนาดนั้น แล้วทำไมนายต้องทำให้ร่างกายส่วนอื่นๆเป็นอัมพาต เพื่อให้ความฝันเหมือนจริงด้วย
คำตอบอาจะมีหลายอย่างครับ แต่หนึ่งในนั้นคือสมองเราอาจกำลังพยายามเชื่อมโยงเหตุการณ์สำคัญต่างๆในชีวิตเรา เพื่อช่วยในเวลาที่เราตื่น
นักวิจัยในปัจจุบันค้นพบว่าฟรอยด์เข้าใจเรื่องความฝันผิดไป อย่างน้อยก็ในแง่สำคัญแง่หนึ่ง เราไม่ได้ฝันเกี่ยวกับความปรารถนาลับๆของเรา แต่ส่วนใหญ่แล้วเรามักจะฝันเรื่องที่เราทำในวันนั้นๆ ขณะที่เราหลับสมองของเราจะจัดระเบียบสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อตอนที่เราตื่นอยู่ และตัดสินใจว่าประสบการณ์ใหม่ไหนสำคัญพอที่จะจดจำและสิ่งไหนควรลืม และค้นหาสิ่งเชื่อมโยงระหว่างสิ่งต่างๆ ที่ดูเหมือนไม่ได้ข้องเกี่ยวกัน ซึ่งอาจช่วยให้เราเป็นมนุษย์ที่ดีขึ้นได้ในวันพรุ่งนี้
และการที่สมองเราเลือกทำเรื่องที่ว่านี้ตอนนอนหลับก็สำคัญเช่นกัน เพราะสมองเราเวลาตื่นออกจะเจ้าระเบียบเกินไปที่จะยอมให้เกิดการแก้ปัญหาแบบสร้างสรรค์อย่างนี้ขึ้น และกิจกรรมที่เกิดขึ้นเวลาเราฝันนี้จะช่วยให้สมองเราตอนตื่นแก้ปัญหา เชื่อมโยงสิ่งต่างๆ และคิดนอกกรอบได้ดีกว่า
ความฝันยังทำให้เกิดสิ่งประดิษฐ์และการค้นพบสำคัญๆ มากมายในประวัติศาสตร์ด้วย ยกตัวอย่างเช่น ดีมิทรี เมนเดเลเยฟ คิดระบบการจัดตารางธาตุของเขาได้ในฝัน หลังจากสมองเวลาตื่นของเขาใช้เวลาคิดอยู่หลายเดือน แต่กลับไปไม่ถึงไหน และงานวิจัยแสดงให้เห็นด้วยว่าสมองเราแก้ปัญหาหรือปริศนาได้ดีกว่าถ้าได้งีบหลับสักพักระหว่างที่กำลังแก้ปัญหาอยู่ ยกตัวอย่างเช่น ในงานวิจัยเมื่อปี 2004 ผู้รับการทดลองได้รับคำสั่งให้หาความเชื่อมโยงระหว่างกลุ่มตัวเลขสองกลุ่ม รับการทดลองกลุ่มที่ได้งีบหลับ แก้ปัญหาได้สูงถึง 60% ขณะที่เพียง 25% ของกลุ่มที่ไม่ได้งีบแก้ปัญหาได้ และในอีกงานวิจัยหนึ่งที่ผู้รับการทดลองได้รับคำสั่งให้หาความเชื่อมโยงระหว่างคำที่ดูจะไม่ได้เกี่ยวข้องกัน คนที่หลับถึงระยะ R.E.M. ระหว่างที่รับการทดสอบแก้ปัญหาได้มากกว่าคนที่ไม่ได้หลับถึง 40%
ดังนั้นความฝันจึงเกี่ยวข้องกับการเชื่อมโยงสิ่งต่างๆและการหาแบบแผนที่สมองขณะตื่นหาได้ยากกว่า
อย่างไรก็ตามความฝันนอกระยะการหลับแบบ R.E.M. กับในระยะ R.E.M. แตกต่างกันเล็กน้อยครับ
ระหว่างการหลับนอกระยะ R.E.M. คุณอาจจะฝัน แต่ความฝันจะไม่ค่อยชัดเจน และมักเกี่ยวกับสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่หรือคิดอยู่ในช่วงนั้น ในระยะการหลับเหล่านี้ คนมักบอกว่าพวกเขาฝันแต่เรื่องน่าเบื่อๆ อย่างถ้าวันนั้นคุณใช้เวลาในรถนานมาก กลางคืนคุณอาจจะฝันว่าขับรถไปตามถนน แล้วหยุดตามแยกไฟแดง อาจจะดูน่าเบื่อ... ก็น่าเบื่อจริงๆนั่นแหละ แต่สิ่งนี้ก็มีประโยชน์กับสมองครับ มันเป็นการตอกย้ำตัวเองในสิ่งที่คุณรู้อยู่แล้ว เช่น คุณควรจะหยุดรถเมื่อเจอไฟแดง ดังนั้นความฝันในการหลับนอกระยะ R.E.M. จึงเป็นการตอกย้ำความเชื่อมโยงที่มีอยู่แล้ว
ส่วนความฝันในระยะ R.E.M. เราสามารถทดสอบความรู้นั้นได้ในสภาพแวดล้อมที่เหมือนความเป็นจริงมาก มันเหมือนสมองเรากำลังทำการทดสอบเสมือนจริง (simulation) นั่นเองครับ สมมุติว่าวันนั้นทั้งวันคุณขับรถทางไกลไปบ้านคุณปู่คุณย่า ในการหลับนอกระยะ R.E.M. คุณจะฝันน่าเบื่ออยู่ 20 นาทีว่าขับรถไปหยุดตามไฟแดงไป แต่ระหว่างการหลับระยะ R.E.M. สมองอาจลองสั่งให้คุณขับรถบดถนนผ่านถนนในแมนฮัตตันทั้งๆที่นั่งอยู่เบาะหลังก็ได้ ความฝันใน R.E.M. อาจจะเหมือนจริงมากและอาจทำให้คุณเครียด แต่นั่นเป็นส่วนหนึ่งของมันครับ ความฝันที่เหมือนจริงในระยะ R.E.M. เป็นโอกาสให้เราได้ลองอะไรยากๆได้อย่างปลอดภัย
เพราะสมองเราไม่ได้อยากได้เพื่อนใหม่ แต่มันอยากเอาชนะ!
จุดประสงค์ในแง่วิวัฒนาการของความฝันก็เช่นเดียวกับจุดประสงค์แง่วิวัฒนาการของสิ่งอื่นๆ ที่เราทำ นั่นคือทำให้เราเป็นมนุษย์ที่ดีขึ้นในวันพรุ่งนี้
ในความฝันระยะ R.E.M. สมองเรากำลังพยายามหาประสบการณ์จากอนาคต และทดสอบความเป็นไปได้ เพราะฉะนั้น คุณอาจจะได้จุ๊บกับครูสอนเลขตอน ม.1 บนเรือยอร์ชของเจซี ขณะที่เขาใส่ชุดกล้วยอยู่ มันจะเป็นไรไปล่ะ มันหมายถึงจิตใต้สำนึกของคุณอยากจะจุ๊บกับครูเลขตอน ม.1 จริงๆเหรอ อาจจะนะ แต่ก็ไม่จำเป็นว่าใช่ แล้วชุดกล้วยนั่นเกี่ยวกับอวัยวะเพศชายหรือเปล่า ผมก็ไม่รู้หรอกผมไม่ใช่ฟรอยด์ซะหน่อย สิ่งสำคัญก็คือ ในความฝันระยะ R.E.M. คุณสามารถทดลองมีประสบการณ์แบบนั้นได้โดยไม่มีผลเสียตามมา
ประโยชน์ของความฝันระยะ R.E.M. คือมันช่วยให้เราทำความเข้าใจกับอารมณ์ที่สมองตอนตื่นสุดทึ่มของเรารับไม่ได้
ถึงแม้เนื้อหาความฝันของเราอาจจะประหลาด แต่อารมณ์ความรู้สึกในนั้นเป็นจริง จำได้ไหมครับว่าสมองตอนฝันของคุณมีหน้าที่รับมือกับปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในชีวิตคุณ ดังนั้น ถ้าในฝันคุณรู้สึกโกรธแฟนคุณมากๆ ก็มีโอกาสสูงที่คุณกำลังโกรธเขา หรือคนใกล้ชิดอยู่จริงๆ เรื่องราวที่สมองคุณสร้างขึ้น โดยพื้นฐานแล้วเป็นการอธิบายความรู้สึกของเรา เหมือนเป็นการดึงความรู้สึกแย่ๆออกไป ทำให้เรารับมือกับมันได้ดีขึ้น
มีคนบางคนไม่สามารถเข้าสู่การนอนระยะ R.E.M. ได้ และพวกเขามักจะมีปัญหาทางจิตในรูปแบบอื่น ความฝันจึงเป็นการช่วยบรรเทาความหนักหน่วงของประสบการณ์ชีวิต อารมณ์ความรู้สึก และความทรงจำของเรา เราจะได้ไม่บ้าตายไปซะก่อน แต่ถ้าผลที่ออกมาทำให้จิตรู้สำนึกของคุณรู้สึกแปลๆบ้างล่ะก็... มันก็ช่วยไม่ได้นะ
ไหนๆก็พูดถึงความฝันแปลกๆ กับ R.E.M. กันแล้ว มีหลายคนอยากรู้ด้วยว่า “การฝันรู้ตัว” (lucid dream) คืออะไร มันคือเวลาที่คุณรู้ตัวอยู่ว่าฝัน และสามารถกำหนดเรื่องราวความฝันได้ครับ เนื่องจาก R.E.M. เป็นเหมือนการทดสอบเสมือนจริงของสมอง การฝันรู้ตัวจึงคล้ายกับการทดสอบเสมือนจริงที่ยอมให้ส่วนหนึ่งของสมองคุณร่วมสนุกไปด้วย
เราทุกคนน่าจะเคยฝันรู้ตัวกันอย่างน้อยก็หนึ่งครั้ง แต่ทุกๆ 1 ใน 10 คนจะฝันรู้ตัวกันเป็นประจำ คนที่ฝันรู้ตัวได้บางคนยังสามารถสื่อสารกับนักวิจัยที่ศึกษาพวกเขาอยู่ผ่านท่าทางอย่างการกลอกลูกตาหรือการบีบมือได้ด้วย แต่สิ่งที่แยกการฝันรู้ตัวกับการหลับแบบ R.E.M. นั้นก็คือกลไกการทำงานของสมองนั่นเองครับ
ในการหลับนอกระยะ R.E.M. สมองส่วน cerebral cortex หรือส่วนเนื้อสีเทา (grey matter) จะสูญเสียความสามารถในการเชื่อมโยงกับส่วนอื่นๆของสมอง และนั่นคงเป็นเหตุผลว่าทำไมความฝันในช่วงนั้นมักจะน่าเบื่อและไม่ค่อยซับซ้อน
แต่เมื่อผู้นอนหลับเข้าสู่ระยะ R.E.M. ส่วน cortex ก็จะทำงานขึ้นอีกครั้งและเริ่มสื่อสารกับส่วนอื่นๆของสมอง ยกเว้นกับส่วนเล็กๆส่วนหนึ่งใน cortex ที่เรียกว่า dorsolateral prefrontal cortex ซึ่งเป็นส่วนเดียวที่ยังไม่กลับมาทำงาน นี่คือส่วนของสมองประมาณขมับซ้ายของคุณ ที่มีหน้าที่หลายอย่าง หนึ่งในนั้นก็คือการจดจำสถานการณ์ต่างๆ เช่น การวางแผนและคาดเดาผลที่ตามมา นี่ยังอธิบายได้ด้วยว่าทำไมฝันระยะ R.E.M. จึงมักแปลกประหลาด เพราะสมองคุณบอกไม่ได้ว่ากำลังจะเกิดอะไรต่อไป
ในการฝันรู้ตัว (lucid dreaming) ส่วน dorsolateral prefrontal cortex จะตื่นขึ้นมาทำงานด้วย นี่ทำให้เรารู้ตัวและสามารถวางเรื่องราวให้กับตัวเองได้ บางคนยังอ้างว่าการฝันรู้ตัวสามารถช่วยบรรเทาการฝันร้ายซ้ำๆได้ และยังช่วยเรื่องโรคซึมเศร้าและอาการวิตกกังวลได้ด้วย อย่างไรก็ตาม เรื่องนั้นยังไม่ได้รับการพิสูจน์นะครับ
แต่ความฝัน ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน ก็มีประโยชน์ทั้งนั้นและเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สกหรับการทำงานของสมองด้วย เพราะฉะนั้นถ้าคุณยังตื่นอยู่ รีบไปงีบซะเลยครับ เพราะมันดีสำหรับคุณ